การจัดการความเครียดในที่ทำงาน: วิธีดูแลสุขภาพจิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในปัจจุบัน การทำงานเต็มไปด้วยความท้าทายและแรงกดดันที่อาจนำไปสู่ความเครียด ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงานที่มากเกินไป ความคาดหวังจากหัวหน้างาน หรือการเปลี่ยนแปลงในองค์กรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มี การจัดการความเครียด อย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงาน
การจัดการความเครียดในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข แต่ยังช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ Starfish Labz จึงขอพามาเรียนรู้ความสำคัญและวิธีการจัดการความเครียดในที่ทำงาน ตลอดจนกรณีศึกษาขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตของพนักงานกัน จะมีข้อมูลอะไร หรือการดูแลตัวเองแบบไหนที่น่าสนใจกันบ้าง มาดูกันเลย
ความสำคัญของการจัดการความเครียดในที่ทำงาน
การจัดการความเครียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น หากไม่มีการบริหารความเครียดที่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) และปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความเครียดในที่ทำงาน ได้แก่:
- ภาระงานที่หนักเกินไป – เมื่องานที่ต้องรับผิดชอบมีมากจนเกินกำลัง อาจทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดพลัง
- สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม – เสียงรบกวน ที่ทำงานที่แออัด หรือการขาดแสงธรรมชาติ อาจส่งผลต่อความเครียด
- การบริหารเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ – หากไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของงาน อาจทำให้รู้สึกว่าต้องทำงานตลอดเวลา
- Work-Life Balance ที่ไม่ดี – การทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือครอบครัว อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด
เทคนิคการจัดการความเครียดที่มีประสิทธิภาพ
🧘♂️ 1. การจัดการอารมณ์ในยุคดิจิทัล
ในโลกที่การสื่อสารเกิดขึ้นตลอดเวลา เทคโนโลยีสามารถเป็นทั้งตัวช่วยและตัวก่อความเครียดได้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
✅ แนวทางแนะนำ:
- ใช้ Digital Detox โดยกำหนดช่วงเวลาพักจากการใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์
- ปิดแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เช่น อีเมล หรือข้อความที่ไม่เร่งด่วน
- ใช้แอปพลิเคชันเพื่อช่วยให้โฟกัสกับงาน เช่น Forest หรือ Pomodoro Timer
🏃♀️ 2. การดูแลสุขภาพกายและจิตใจ
สุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานของการรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✅ แนวทางแนะนำ:
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดิน วิ่ง หรือโยคะ
- นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- ฝึกสมาธิและการหายใจลึกๆ เพื่อลดความเครียด
📅 3. การบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ
การบริหารเวลาที่ดีช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
✅ แนวทางแนะนำ:
- ใช้หลัก Eisenhower Matrix แบ่งงานเป็น 4 ประเภท ได้แก่ งานเร่งด่วนและสำคัญ, งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน, งานเร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ และงานที่ไม่เร่งด่วนและไม่สำคัญ
- ตั้งเป้าหมายรายวันและจัดลำดับความสำคัญของงาน
🤝 4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานช่วยลดความเครียดและสร้างบรรยากาศที่ดี
✅ แนวทางแนะนำ:
- เปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและความเครียดในที่ทำงาน
- สนับสนุนกันและกันภายในทีม
🎯 5. การพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลเพื่อรับมือกับความเครียด
ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทักษะการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราจัดการความเครียดได้ดีขึ้น
✅ แนวทางแนะนำ:
1. พัฒนาทักษะการเรียนรู้เฉพาะบุคคล
- ลงเรียนหลักสูตรออนไลน์หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับการจัดการความเครียด
- ใช้แอปพลิเคชันช่วยบริหารเวลาหรือฝึกสมาธิ
2. รู้จักปรับตัวและเรียนรู้ตลอดเวลา
- เทคโนโลยีทำให้โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้นการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์และความยืดหยุ่นทางจิตใจจะช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
กรณีศึกษา: องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการจัดการความเครียดของพนักงาน
🎯 1. Google: สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจสุขภาพจิต
Google เป็นหนึ่งในองค์กรที่ขึ้นชื่อเรื่องสวัสดิการที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ นโยบายของ Google ไม่เพียงแต่เน้นเรื่องผลลัพธ์ของงานเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานในทุกมิติ
✅ มาตรการลดความเครียดของ Google:
- Wellness Program: Google มีโปรแกรมดูแลสุขภาพจิตที่ให้พนักงานเข้าร่วม เช่น Mindfulness Training ซึ่งเป็นการฝึกสติเพื่อลดความเครียด
- Nap Pods: มีห้องพักผ่อนและ Nap Pods หรือแคปซูลสำหรับนอนหลับสั้น ๆ เพื่อลดความเหนื่อยล้าและช่วยให้พนักงานสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีพลัง
- Flexible Work Arrangements: Google สนับสนุนการทำงานแบบยืดหยุ่น ให้พนักงานสามารถเลือกสถานที่ทำงานและปรับเวลาการทำงานให้เหมาะกับตนเอง
- Recreational Spaces: มีพื้นที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการ เช่น ห้องเล่นเกม ฟิตเนส และสนามกีฬาในสำนักงาน
- Free Healthy Meals: Google มีอาหารเพื่อสุขภาพให้พนักงานฟรี เพื่อลดความเครียดจากการต้องจัดการเรื่องอาหารในแต่ละวัน
จากมาตรการเหล่านี้ ทำให้ Google เป็นองค์กรที่สามารถดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้ได้เป็นอย่างดี
🎯 2. Microsoft: ส่งเสริม Work-Life Balance และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
Microsoft เป็นอีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับ การจัดการความเครียด ของพนักงาน โดยมุ่งเน้นที่การสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานมีเวลาในการดูแลสุขภาพจิตของตนเอง
✅ มาตรการลดความเครียดของ Microsoft:
- Work-Life Balance Initiative: Microsoft มีนโยบายที่ช่วยให้พนักงานสามารถบริหารเวลาทำงานได้อย่างเหมาะสม เช่น Hybrid Work Policy ที่ให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้บางวัน
- Mental Health Support: พนักงานสามารถเข้าถึงบริการปรึกษาสุขภาพจิตได้ฟรี รวมถึงมีวันลาเพื่อสุขภาพจิต (Mental Health Days)
- Flexible Working Hours: Microsoft อนุญาตให้พนักงานปรับเปลี่ยนเวลาเริ่มงานและเลิกงานให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
- Digital Wellbeing Program: Microsoft สนับสนุนให้พนักงานใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ โดยมีเครื่องมือช่วยลดภาระทางดิจิทัล เช่น Focus Mode ใน Microsoft Teams ที่ช่วยให้พนักงานสามารถโฟกัสกับงานได้โดยไม่มีสิ่งรบกวน
นโยบายเหล่านี้ช่วยให้พนักงานสามารถลดความเครียดและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
🎯 3. Salesforce: ผู้นำด้านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนสุขภาพจิต
Salesforce เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานมากที่สุด บริษัทมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและสนับสนุนให้พนักงานดูแลตนเอง ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
✅ มาตรการลดความเครียดของ Salesforce:
- Mental Health Days: Salesforce กำหนดให้พนักงานสามารถใช้วันลาเพื่อดูแลสุขภาพจิตได้โดยไม่ต้องให้เหตุผล
- Employee Assistance Program (EAP): โปรแกรมนี้ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงนักจิตวิทยาหรือที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตได้ฟรี
- Ohana Culture: Salesforce ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแบบ Ohana ซึ่งหมายถึงการดูแลกันและกันเหมือนครอบครัว ส่งเสริมให้พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
- Volunteer Time Off (VTO): พนักงานสามารถลางานเพื่อทำกิจกรรมอาสาสมัครได้ ซึ่งช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขในการทำงาน
- Guided Meditation & Mindfulness Programs: มีการจัดกิจกรรมฝึกสมาธิและการฝึกสติสำหรับพนักงาน เพื่อช่วยลดความเครียดจากการทำงาน
- ผลจากแนวทางเหล่านี้ทำให้ Salesforce เป็นบริษัทที่มีอัตราการลาออกต่ำ และมีพนักงานที่มีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
🎯 4. Unilever: การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี
Unilever เป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจด้านสินค้าอุปโภคบริโภค และมีแนวทางที่โดดเด่นในการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน
✅ มาตรการลดความเครียดของ Unilever:
- Mental Wellbeing Policy: Unilever มีแนวทางส่งเสริมสุขภาพจิตที่ครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ไปจนถึงการให้วันหยุดพิเศษสำหรับพนักงานที่ต้องการพักผ่อน
- Work from Anywhere Initiative: อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ เพื่อลดภาระความเครียดจากการเดินทาง
- Health & Wellbeing Hub: เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต และมีเครื่องมือช่วยพนักงานจัดการความเครียด
- Employee Support Network: มีระบบสนับสนุนพนักงาน โดยให้พนักงานที่เคยประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเพื่อนร่วมงาน
นโยบายเหล่านี้ทำให้ Unilever เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาพจิตของพนักงานมากที่สุด
สรุป (Key Takeaway)
การจัดการความเครียดในที่ทำงานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพนักงานทุกคน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เทคนิคต่างๆ เช่น การจัดการอารมณ์ในยุคดิจิทัล, การบริหารเวลา, และ การดูแลสุขภาพกายและจิตใจ สามารถช่วยให้พนักงานรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ องค์กรเองก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตของพนักงาน ดังที่เห็นจากกรณีศึกษาของ Google, Microsoft, Salesforce และ Unilever ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิการและนโยบายที่ช่วยลดความเครียด
ในท้ายที่สุด ทั้งพนักงานและองค์กรต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างที่ทำงานที่สนับสนุนสุขภาพจิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างยั่งยืน
Related Courses
วัยทีนยุคใหม่ จัดการเวลายังไงให้สมดุล
ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ ทั้งโซเชียลมีเดีย การเรียน กิจกรรมต่าง ๆ และการใช้ชีวิตส่วนตัว การจัดการเวลาจึงเป็นทั ...



เกมจิตวิทยาค้นหาตัวตน
อยากรู้ตัวเองมากขึ้นไหม? มาเล่นเกมค้นหาตัวตนกัน! คอร์สออนไลน์สนุกๆ ที่จะพาคุณไปเจอตัวเองที่แท้จริง" ค้นพบความถนัด ศักยภ ...



5 เทคนิคเลคเชอร์ ให้จำได้ ทบทวนบทเรียนแบบง่ายๆ
อยากเกรด A ต้องทำยังไง? คอร์สนี้มีคำตอบกับ 5 เคล็ดลับ! สุดเจ๋ง ที่จะช่วยให้จดจำเนื้อหาได้ยาวนาน ทบทวนสนุก สมองปลอดโปร่ง ...



5 เทคนิคเลคเชอร์ ให้จำได้ ทบทวนบทเรียนแบบง่ายๆ
เสริมสร้างนวัตกรรุ่นใหม่ ร่วมกันแก้ไขสภาวะโลก
ผู้เรียนในช่วงอายุ 13-18 ปี เรียนรู้และเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนทั่วโลก เรา ...



เสริมสร้างนวัตกรรุ่นใหม่ ร่วมกันแก้ไขสภาวะโลก
Related Videos


พื้นที่แห่งการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21


น้องยินดี: เด็กอัจฉริยะ คิดค้นการใช้มอส กำจัด PM2.5

